Insect Biology and Restriction
ชีววิทยาแมลงและการจำกัด

มด Formicidae
มดเป็นแมลงสังคมที่สร้างความรำคาญในบ้านเรือนมีผลกระทบต่อธุรกิจ
ที่เกี่ยวกับอาหารทำให้เกิดการปนเปื้อน และอาหารเป็นพิษ มีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) ในวงจรชีวิตประกอบด้วย
ระยะไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย
มดเป็นแมลงสังคมที่สร้างความรำคาญในบ้านเรือนมีผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารทำให้เกิดการปนเปื้อน และอาหารเป็นพิษ มีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) ในวงจรชีวิตประกอบด้วย ระยะไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย
มดแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ

วรรณะสืบพันธุ์

วรรณะกรรมกร

วรรณะทหาร
ลักษณะทั่วไปของมดแบ่งลำตัวออกเป็น 3 ส่วน
- ส่วนหัว
- ส่วนอก
- ส่วนท้อง
มีหนวดแบบหักข้อศอก ในเพศเมียจำนวน 4 – 12 ปล้อง และเพศผู้จำนวน
9 – 13 ปล้อง ปล้องท้องที่ 1 จะรวมกับอกปล้องที่ 3 เรียกว่า propodeum ปล้องที่ 2 และ/หรือ 3 มีลักษณะเป็นก้าน (pedicel) คล้ายมดมีเอว ปากแบบกัดกิน (chewing type) และมีตารวมขนาดใหญ่ 1 คู่ (compound eye) บางชนิดมีตาเดี่ยว (ocelli)
มีหนวดแบบหักข้อศอก ในเพศเมียจำนวน 4 – 12 ปล้อง และเพศผู้จำนวน 9 – 13 ปล้อง ปล้องท้องที่ 1 จะรวมกับอกปล้องที่ 3 เรียกว่า propodeum ปล้องที่ 2 และ/หรือ 3 มีลักษณะเป็นก้าน (pedicel) คล้ายมดมีเอว ปากแบบกัดกิน (chewing type) และมีตารวมขนาดใหญ่ 1 คู่ (compound eye) บางชนิดมีตาเดี่ยว (ocelli)

Type of Formicidae
ชนิดของมดที่สำคัญ

มดคันไฟ (Fire Ant)
มีสีเหลืองแดง มีขนที่หัวและตัว หนวดมี 10 ปล้อง อกแคบ โดยปล้องแรกจะมีลักษณะกลม ท้องรูปไข่มีลายขวางสีน้ำตาล มีเหล็กใน ลำตัวมีความยาว 7-8 มิลลิเมตร ทำรังอยู่ใต้ดินที่ร่วนซุยด้วยดินทรายโดยสร้างเป็นเนินดินเล็กๆ ชอบอาหารที่มีโปรตีนสูงกินแมลงและซากสัตว์เล็กๆเป็นอาหารรวมทั้งเศษอาหารที่คนทิ้งไว้
ความสำคัญทางการแพทย์ :
ทำอันตรายกับคนได้ทั้งการกัดและการใช้เหล็กในต่อย ผู้ถูกต่อยจะรู้สึกเจ็บแสบคล้ายถูกไฟลวกจึงเรียกมดคันไฟ หลังจากถูกต่อยบริเวณแผลจะมีอาการบวมแดงขยายวงกว้างขึ้นและจุดที่ถูกต่อยจะใสคล้ายถูกไฟลวกและจะมีอาการคันมากเมื่อเกาผิวหนังจะบวมแดงแผ่กว้างขึ้น

มดละเอียด (Pharaohs Ant)
มีสีเหลืองจนถึงสีน้ำตาลอ่อนหรือสีแดงสว่างใส ส่วนท้องมีสีเข้มเกือบดำ หนวดมี 12 ปล้อง ตาเล็ก มีขน อกยาวแคบ ลำตัวมีความยาว 1.5-2 มิลลิเมตร เป็นมดที่ทำรังหลักหรือรังใหญ่ (mother colony) และมีรังย่อย (daughter colony) อยู่ใกล้แหล่งอาหาร พบตามบ้านที่อยู่อาศัย โดยรังย่อยเหล่านี้จะซ่อนอยาตามรอยแตกของผนัง ช่องว่างตามกำแพง กล่องสวิตช์ไฟ มดละเอียดชนิดนี้กินอาหารได้หลายชนิด ทั้งน้ำตาลและโปรตีน เป็นมดที่จัดว่าทำการควบคุมได้ยาก เนื่องจากมีขนาดเล็กหลบซ่อนตัวได้ง่าย หากินไกลออกจากรัง มีทั้งรังหลักและรังย่อยซึ่งยากต่อการค้นหา และพบว่าการใช้สารเคมีในการฉีดพ่นที่รังใดรังหนึ่งและทำให้ประชากรแตกกระจาย บางครั้งจะทำให้มดชนิดนี้ยิ่งแตกออกเป็นรังย่อยๆหรือที่เรียกว่า budding ซึ่งทำให้ควบคุมยากยิ่งขึ้น
ความสำคัญทางการแพทย์ :
มีเหล็กในแต่ไม่ปรากฏให้เห็น เมื่อถูกรบกวนจะป้องกันตัวด้วยการกัด ผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บและคันเพียงเล็กน้อย

มดเหม็น (Ghost Ant)
มีสีแดงสนิมปนสีน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องใส หนวดมี 12 ปล้อง อกยาวแคบ ลำตัวมีความยาว 2.5-3.5 มิลลิเมตร ทำรังอยู่ในดิน พบตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ชอบกินของหวาน เมื่อมากินอาหารแล้วจะปล่อยสิ่งขับถ่ายทำให้อาหารมีรสชาติเปลี่ยนไป เคลื่อนไหวรวดเร็ว
ความสำคัญทางการแพทย์ :
เมื่อถูกรบกวนจะป้องกันตัวโดยการกัด ผู้ถูกกัดจะรู้สึกเจ็บและคันเพียงเล็กน้อย

มดดำ (Crazy Ant)
มีสีน้ำตาลเข้มบางส่วนสีดำ ขนสีน้ำตาลเหลืองปกคลุมอยู่ทั่วไป หนวดมี 12 ปล้อง ลักษณะยาวเห็นได้ชัด ท้องรูปไข่ ความยาวของลำตัว 2.3-3 มิลลิเมตร พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในที่อยู่อาศัยและภายนอกอาคารบ้านเรือน มดงานออกหากินไกลออกไปจากรัง ดังนั้นจึงยากที่จะควบคุมมดชนิดนี้ได้ทั้งรัง เป็นมดที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากโดยไม่ติดตามฟีโรโมนของมดตัวอื่นๆพบแพร่กระจายอยู่ทั่วโลก ทำรังตามรอยแตกของต้นไม้ หรือในดินใต้วัสดุต่างๆ ชอบกินน้ำหวาน บางครั้งอาจพบเห็นมดชนิดนี้ขนย้ายไข่ มดชนิดนี้จะไม่ทำอันตรายคนแม้ถูกรบกวน
ความสำคัญทางการแพทย์ :
เป็นมดที่ทำให้เกิดความรำคาญมากกว่าทำให้เกิดอันตราย
Process of Service
การกำจัดมด
สำรวจพื้นที่
สำรวจพื้นที่
ฉีดพ่น
ฉีดพ่น
วางเหยื่อพิษ
วางเหยื่อพิษ
ตรวจเช็ค
ตรวจเช็ค
สุขาภิบาล
สุขาภิบาล

แมลงสาบ Blattodea
เป็นแมลงที่พบการการระบาดกระจายอยู่ทั่วโลกมีวงจรชีวิตแบบไม่สมบูรณ์ (incomplete metamorphosis) ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและขนาด
วงจรชีวิตของแมลงสาบประกอบด้วย 3 ระยะ

ระยะไข่

ระยะตัวอ่อน

ตัวเต็มวัย
ลักษณะทั่วไปของแมลงสาบ
- มีลำตัวยาวรีเป็นรูปไข่
- ลำตัวสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม
- มีส่วนหัวซ่อนอยู่ใต้อก
- หนวดยาวคล้ายเส้นด้าย
- ส่วนขายาวมีหนามคลุม
- ตัวเต็มวัยมีทั้งมีปีกและไม่มีปีก
- ปากมีลักษณะเป็นแบบกัดเคี้ยว

Type of Blattodea
ชนิดของแมลงสาบที่สำคัญ

แมลงสาบอเมริกัน (Periplaneta Americana)
เป็นแมลงสาบที่มีลำตัวขนาดใหญ่ ลำตัวยาวประมาณ 30–40 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลแดง ปีกยาวทั้งตัวผู้และตัวเมีย บินเก่ง ชอบออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันจะนอนพัก หรือหลบซ่อนตัวตามซอกมุม ใต้ตู้ ชั้นเก็บของ ในที่มืด อับ จะพบมากตามโกดังเก็บสินค้า หรือบ้านเรือนทั่วไป โตเต็มวัยเมื่อ 7 วัน อายุ 4–7 วันเริ่มผสมพันธุ์ วางไข่ครั้งละ 16–28 ฟอง ในหนึ่งรังไข่ ตัวเมีย 1 ตัวสามารถวางไข่ได้ 22–40 รังไข่ ฟักภายใน 30–46 วัน มีอายุประมาณ 212–294 วัน

แมลงสาบเยอรมัน (Blattella germanica)
เป็นแมลงสาบขนาดเล็ก ความยาวลำตัวของตัวเต็มวัย ประมาณ 13-16 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลอ่อนและมีแถบสีดำ 2 เส้นพาดขนานตามแนวยาวของลำตัว มีอายุประมาณ 100 วัน ชอบอากาศอบอุ่น ตัวเมียที่มีไข่จะลากเกราะหุ้มไข่ติดกับท้องตลอดเวลาจนกว่าไข่จะสุก ประมาณ 2–4 สัปดาห์ ปัจจุบันพบได้ทั่วโลกเป็นแมลงสาบที่พบการระบาดตามร้านอาหาร บ้านเรือนมักพบการหลบซ่อนบริเวณภายในห้องครัว ชั้นวางของ ลิ้นชัก เป็นต้น
สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าบ้านเรามี
แมลงสาบ
การพบเห็นแมลงสาบในตอนกลางวันเป็นตัวบ่งบอกว่าพื้นที่นั้นมีแมลงสาบชุกชุม เนื่องจากนิสัยของแมลงสาบชอบออกหากินในเวลากลางคืน แต่ถ้ามีจำนวนแมลงสาบมากมักจะแย่งอาหารกันในเวลากลางคืนดังนั้น แมลงสาบบางส่วนจึงปรับพฤติกรรมออกหากินในเวลากลางวันเพื่อความอยู่รอดนอกจากนี้ ยังสังเกตจากการพบซากแมลงสาบที่ตายแล้ว คราบที่ลอกเมื่อแมลงสาบมีการเปลี่ยนวัย ฝักไข่ที่ฟัก รวมทั้งพบมูลของแมลงสาบจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่ามีจำนวนแมลงสาบในสถานที่นั้นชุกชุก
Process of Service
การกำจัดแมลงสาบ
สำรวจพื้นที่
สำรวจพื้นที่
ฉีดพ่น
ฉีดพ่น
วางสถานีกาวดักจับ
วางสถานีกาวดักจับ
วางเหยื่อพิษ
วางเหยื่อพิษ
ตรวจเช็ค
ตรวจเช็ค
คำแนะนำเรื่องสุขาภิบาล
คำแนะนำเรื่องสุขาภิบาล

ยุง Culicidae
ยุงเป็นแมลงที่สร้างความรำคาญก่อให้เกิดโรคหลากหลาย โรคมาสู่มนุษย์ เช่น มาลาเรีย , ไข้เลือดออก ,ไข้สมองอักเสบ , ชิคุนกุนย่า เป็นต้น เมื่อยุงตัวเมียกัดคนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ มันจะนำพาเชื้อโรคระหว่างที่มันดูดเลือด และส่งต่อเชื้อไปสู่คนอื่นได้หลายคนโดยการกัดเช่นเดียวกัน มีการพบแพร่ระบาดได้ทั่วโลกแต่จะพบมากในเขตร้อนชื้น และเขตอบอุ่น มีวงจรชีวิตแบบสมบูรณ์ (complete metamorphosis)
ยุงมีขนาดเล็กโดยทั่วไปมีขนาดลำตัวยาว 4-6 ม.ม. บางชนิด มีขนาด 2-3 ม.ม. แต่บางชนิดอาจยาวมากกว่า 10 ม.ม. มีขาจำนวน 6 ขา ลำตัวเป็นปล้อง มีปากคล้ายงวงยื่นยาวออกไปข้างหน้า มีปีก 1 คู่

ระยะการเจริญเติบโต
แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังต่อไปนี้
ระยะไข่ (Egg)
ยุงตัวเมียตัวหนึ่งอาจวางไข่ได้ 50-100 ฟอง หรือมากกว่า ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนใน 2-3 วัน ไข่จะไม่ฟัก เป็นตัวอ่อนถ้าไม่มีน้ำ ไข่ยุงบางชนิดอยู่ในสภาพแห้งได้นานหลาย เดือน เช่นไข่ยุงลาย เมื่อมีน้ำก็จะฟักตัวเป็นลูกน้ำ
ระยะลูกน้ำ (Larva)
ประมาณ 5-15 วัน อาหารของลูกน้ำ คือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ แพลงตอน สาหร่าย สัตว์น้ำขนาดเล็ก ลูกน้ำยุงจะลอกคราบ 4 ครั้งกลายเป็นตัวโม่ง
ระยะตัวโม่ง หรือ ดักแด้ (Pupa)
ระยะนี้จะเคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่กินอาหาร ใช้เวลา 1-3 วันก็กลายเป็นตัวเต็มวัย
ระยะตัวเต็มวัย (Adult)
มีส่วนหัว อก และท้อง ชัดเจน สามารถแยกออกจากแมลงชนิดอื่นได้ ระยะเวลาเจริญเติบโตจากไข่จนเป็นตัวเต็มวัยใช้เวลาประมาณ 8-21 วัน ขึ้นกับอุณหภูมิ ความชื้น ชนิดของยุง และอาหาร
ยุงตัวผู้และยุงตัวเมีย
ยุงตัวผู้จะดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ และของเหลวจาก พืชเป็นอาหาร ยุงตัวเมียเท่านั้นที่ดูดกินเลือดหลังจากการผสมพันธุ์ การกินเลือดของยุงแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะ เช่น บางชนิดกิน เลือดวัว ควาย ม้า และสัตว์เลี้ยงต่างๆ บางชนิดกินเลือดคน เวลา ที่ออกหากินก็ไม่เหมือนกัน ยุงตัวเมียจะบินได้ไกลกว่าตัวผู้การบินของยุงมีลักษณะเฉพาะของยุงแต่ละชนิด เช่น ยุงลายจะบินได้ ไกล 400-600 เมตร ยุงก้นปล่องบินได้ไกล 1-2 กิโลเมตร และ ยุงรำคาญบินได้ไกล 200 เมตรจนถึงหลายกิโลเมตร
Type of Culicidae
ชนิดของยุงที่พบในประเทศไทย

ยุงก้นปล่อง (Anopheles)
ยุงชนิดนี้เวลาเกาะพักจะยกก้นชี้เป็นปล่อง แหล่งเพาะพันธุ์ตามลำธารที่มีน้ำใสสะอาดไหลเอื่อยๆ ในตอนกลางวันจะบินมาเกาะพักตามบ้านเรือน ชอบอยู่ตามป่า เขา และกัดคนตอนกลางคืน เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง และโรคมาลาเรีย

ยุงลาย (Aedes)
ลำตัวและขามีลายสีขาวสลับดำ แหล่งเพาะพันธุ์อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน บริเวณรอบบ้านหรือในบ้าน แหล่งเพาะพันธุ์ได้แก่ ภาชนะที่มีน้ำขังเวลาที่ออกหากินเป็นช่วงกลางวันเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำสะอาด เป็นพาหะนำโรคไข้ชิคุนกุนยา และไข้เลือดออก

ยุงรำคาญ (Genus Culex)
มีขนาดเล็กลำตัวบอบบางไม่มีลวดลายตามตัว วางไข่ในแหล่งน้ำทุกชนิดแหล่งเพาะพันธุ์มักอยู่ใกล้บ้านวางไข่เป็นแพ ออกหากินทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ยุงชนิดนี้เป็นพาหะที่สำคัญของทั้งไวรัสไข้สมองอักเสบและโรคเท้าช้าง

ยุงเสือ
ลำตัวและขามีลวดลายค่อนข้างสวยงาม บางชนิดมีสีเหลืองขาวสลับดำคล้ายลายของเสือโคร่ง ชอบเพาะพันธุ์ในบริเวณที่เป็นหนอง คลอง บึง สระ ที่มีพืชน้ำพวก จอกและ ผักตบชวา เป็นพาหะของโรคเท้าช้าง
Process of Service
การกำจัดยุง
สำรวจพื้นที่
สำรวจพื้นที่
ฉีดพ่นแบบครอบคลุม
ฉีดพ่นแบบครอบคลุม
ฉีดพ่นเคมีรอบๆ
ฉีดพ่นเคมีรอบๆ
สุขาภิบาล
สุขาภิบาล

แมลงวัน Diptera
เป็นแมลงที่พบได้แทบทุกแห่งบนโลกทำให้เกิดความรำคาญและเป็นแมลงพาหะนำโรค ลำตัวขนาดเล็กถึงปานกลาง มีปีก 2 ปีก โดยทั่วไปคนจะรู้จักแมลงวันที่อยู่ใกล้ชิดในชีวิตประจำวันของคน คือ แมลงวันบ้าน และแมลงวันหัวเขียว แมลงวันหลังลาย เป็นต้น แมลงวันทำให้เกิดความรำคาญเนื่องจากมันบินมาตอมคนและอาหาร นอกจากนี้เป็นพาหะนำเชื้อโรคหลายชนิด โดยที่แมลงวันหัวเขียวสามารถเป็นพาหะนำโรคได้มากกว่าแมลงวันบ้าน เชื้อที่สำคัญที่สามารถนำโดยแมลงวันได้แก่ เชื้ออหิวาตกโรค เชื้อบิด เชื้อไข้รากสาดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารและไข่พยาธิบางชนิดได้
ลักษณะของแมลงวัน
- เป็นแมลงขนาดเล็ก
- ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง
- มีขา 6 ขา อยู่บริเวณต้นส่วนอก 1 คู่ และบริเวณท้ายส่วนอก 2 คู่
- มีปากแบบดูดซับหรือแตะดูด
- ลำตัวมีสีเทา และสีอื่นๆตามชนิดของแมลงวัน
วงจรชีวิต
แมลงวันบ้านออกหากินในช่วงกลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนจะรวมกลุ่มอยู่บนกิ่งไม้และพุ่มไม้ แมลงวันบ้านจะกินอาหารก่อนที่จะจับคู่ผสมพันธุ์ ตัวเมียส่วนใหญ่จะจับคู่ผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียวและจะเก็บอสุจิไว้ในถุงเก็บน้ำเชื้อ (spermatheca) ตัวเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มๆละ 100-150 ฟอง บนอุจจาระสัตว์ กองปุ๋ยคอก เศษซากขยะ และอินทรียวัตถุเน่าเปื่อย วางไข่ทุกๆ 3-4 วัน ตลอดชีวิตของมัน ไข่ใช้เวลา 12-24 ชั่วโมงจะฟักเป็นตัวหนอนสีขาว หนอนมี 3 ระยะ ใช้เวลา 3-7 วัน และก่อนที่จะเข้าดักแด้มันจะคลานออกจากแหล่งอาหารเพื่อออกไปหาที่แห้ง หนอนขุดรูเข้าไปในดินและเข้าดักแด้ในปลอก (puparium) สีน้ำตาลแดง ดักแด้ใช้เวลา 3-5 วัน ตัวเต็มวัยมีอายุ 15-25 วัน หรือ 2 เดือน ถ้าไม่มีอาหารจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2-3 วัน วงจรชีวิตจากไข่เป็นตัวเต็มวัยใช้เวลาอย่างน้อย 7-10 วัน

Type of Culicidae
ชนิดของแมลงวันที่พบการระบาด

แมลงวันบ้าน (Housefly)
ตัวเต็มวัยมีลำตัวยาว 7-9 มิลลิเมตร สีเทาดำ ไม่สะท้อนแสง ตาเป็นลักษณะตาประกอบ ส่วนปากดัดแปลงสำหรับการดูดอาหารที่เป็นของเหลวหรือกึ่งเหลว ในขณะที่ไม่กินอาหารปากจะหดเข้าไปอยู่ในส่วนหัว แต่ขณะกินอาหารปากจะยืดยาวออกมา ส่วนอกด้านหลังมีแถบดำ 4 เส้น ขามี 3 คู่ โดยปกติตัวเมียวางไข่เป็นกลุ่มประมาณ 120 ฟอง ในสภาพธรรมชาติจะสามารถวางไข่ได้ 1-2 ครั้ง แมลงวันมีอายุขัยประมาณ 14-70 วัน

แมลงวันหัวเขียว (Blowfly)
มีรูปร่างคล้ายแมลงวันบ้านแต่มีลำตัวขนาดใหญ่กว่าแมลงวันบ้าน โดยมีความยาวตั้งแต่ส่วนหัวถึงปลายส่วนท้องประมาณ 8-11 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นคือลำตัวส่วนอกและท้องมีความมันวาวสะท้อนแสงสีเขียว ทำให้คนเรียกแมลงวันชนิดนี้ว่าแมลงวันหัวเขียวทั้งที่ส่วนเขียวเป็นส่วนอกและท้อง อย่างไรก็ตามสีของแมลงวันหัวเขียวมีความแตกต่างกันไปในแมลงวันหัวเขียวแต่ละชนิด ได้แก่สีเขียว น้ำเงิน ม่วง ทองแดง แมลงวันหัวเขียวตัวเมียจะวางไข่ครั้งละประมาณ 250 ฟอง จำนวนไข่มากหรือน้อยขึ้นกับชนิดของแมลงวัน

แมลงวันหลังลาย (Fleshfly)
มีลำตัวใหญ่สีเทา ขนาด 10-13 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นคือ มีแถบดำ 3 เส้น ตามยาวที่ส่วนอก ส่วนท้องด้านบนมีลายรูปสี่เหลี่ยมสีเทาเข้มหรือดำ จากไข่ถึงตัวเต็มวัย ใช้เวลา 16-27 วัน วางไข่เป็นกลุ่มๆ ละ 3-36 ฟองตัวเมียแต่ละตัววางไข่ได้ 4-5 ครั้ง บางครั้งจะออกลูกเป็นตัวหนอนได้ครั้งละ 10-40 ตัวและอาจมากกว่านี้
Process of Service
การกำจัดแมลงวัน
สำรวจพื้นที่
สำรวจพื้นที่
วางเหยื่อพิษ
วางเหยื่อพิษ
ฉีดพ่นเคมีรอบๆ
ฉีดพ่นเคมีรอบๆ
ฉีดพ่นเคมีแบบครอบคลุม
ฉีดพ่นเคมีแบบครอบคลุม
การติดตั้งเครื่องไฟดักแมลง
การติดตั้งเครื่องไฟดักแมลง
การป้องกันเน้นการสุขาภิบาล
การป้องกันเน้นการสุขาภิบาล
เห็บ, หมัด
เป็นสัตว์ดูดเลือดและพาหะนำโรคที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แม้โดยทั่วไปหากถูกเห็บกัดจะไม่เกิดอันตราย
และไม่ปรากฏอาการเจ็บหรือคัน แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดอาการแพ้ มีผื่นขึ้น เป็นแผลพุพอง หรือถึงขั้นหายใจติดขัดได้ ดังนั้น การตระหนักถึง
อันตรายจากเห็บและเรียนรู้วิธีรับมือป้องกันในเบื้องต้นก็อาจช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้
เป็นสัตว์ดูดเลือดและพาหะนำโรคที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แม้โดยทั่วไปหากถูกเห็บกัดจะไม่เกิดอันตราย และไม่ปรากฏอาการเจ็บหรือคัน แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดอาการแพ้ มีผื่นขึ้น เป็นแผลพุพอง หรือถึงขั้นหายใจติดขัดได้ ดังนั้น การตระหนักถึงอันตรายจากเห็บและเรียนรู้วิธีรับมือป้องกันในเบื้องต้นก็อาจช่วยลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้

หมัด flea
เป็นแมลงขนาดเล็กที่ไม่มีปีก กระโดดได้ไกลถึงประมาณ 6 นิ้ว เป็นปรสิตภายนอกร่างกาย ทั้งในมนุษย์และสัตว์อื่นๆ เช่น หมัดสุนัข หมัดแมว หมัดหนู ฯลฯ กัดและดูดเลือด เมื่อผิวหนังถูกกัดฉีกออกมาเป็นแผล มันจะสำรอกน้ำลายลงไปบนแผลนั้น แล้วดูดเลือด เมื่อดูดเลือดแล้วมันจะขับถ่ายของเสียมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์ โดยไม่ต้องกินอาหาร เมื่อโดนกัดแล้วผิวหนังจะมีอาการบวมแดงและคัน หากมีอาการแพ้อาจจะมีไข้สูง และมีผื่นขึ้นและคันมาก ๆ คล้ายลมพิษ
วงจรชีวิตของหมัดมี 4 ระยะ

ระยะเป็นไข่

ตัวอ่อน

ดักแด้

ตัวเต็มวัย
มีวงจรชีวิตประมาณ 2-3 สัปดาห์
หมัดมีการผสมพันธุ์บนตัวโฮสต์ และส่วนใหญ่จะวางไข่นอกตัวโฮสต์ และมีความต้องการเลือดเป็นอาหารก่อนจะวางไข่ ไข่ของหมัดอาจจะอยู่ตามเสื่อ ผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือพื้น เพดาน มันวางไข่ได้ครั้งละประมาณ 3-18 ฟอง และหนึ่งชั่วชีวิตของมันจะวางไข่ได้ประมาณ 300-500 ฟอง ตัวอ่อนจะมีการลอกคราบเป็น 3 ระยะ ตัวอ่อนคลายตัวอ่อนของแมลง ลำตัวประกอบเป็นปล้องๆ มี 13 ปล้อง และในแต่ละปล้องจะมีขนเส้นยาวขึ้น ตัวอ่อนกินไรฝุ่น ผง หรือเลือดแห้ง เป็นอาหาร ตัวอ่อนจะมีอายุประมาณ 2 สัปดาห์ จึงลอกคราบกลายเป็นตัวแก่ และจะต้องขึ้นไปเกาะบนตัวโฮสต์ทันที ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาล ปากแบบกัดและเจาะดูด ไม่มีปีก
มีลำตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้องแบบไม่ชัดเจน หมัดมีความทนทานทั้งในสภาพที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูงได้ดี


เห็บ tick
อยู่กลุ่มเดียวกับพวกแมงมุม ตัวเต็มวัยมี 8 ขา ไม่มีปีก ลักษณะตัวกลมแบนในขณะที่ยังไม่ได้ดูดเลือด แต่ถ้าหากดูดเลือดแล้วจะมีลักษณะคล้ายเม็ดลูกหยีเกาะติดอยู่กับสัตว์ เมื่อกินเลือดอิ่มแล้วพวกนี้จะลงมาวางไข่ตามใบไม้ใบหญ้า จนกระทั่งโตพอสมควรก็จะขึ้นไปอยู่บนตัวสัตว์เพื่อดูดเลือดจนอิ่มแล้วจะลงมาวางไข่ เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ หากติดอยู่กับสัตว์นานๆ จะทำให้สัตว์เป็นโรคไข้เห็บ และทำให้เป็นโรคโลหิตจางตายได้ เห็บตัวหนึ่งๆมีอายุ ราว 1-3 ปี
ปัญหาจากเห็บนั้น จะก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ได้แก่ โรคผิวหนังจากการแพ้และคัน สุขภาพผิวหนังอ่อนแอ ที่สำคัญยังเป็นพาหะนำโรค ไข้เห็บ (Tick fever) หรือ พยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพโลหิตจาง และร่างกายทรุดโทรม โรคพยาธิในเม็ดเลือดนี้มีเชื้อโปรโตซัวและริกเก็ตเซียเป็นตัวก่อโรค ได้แก่ กลุ่ม Ehrlichia, Babesia และ Hepatozoon ในช่วงที่เห็บจะดูดเลือดนั้น เห็บจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดเข้าไปทางรอยแผลที่กัด หากเห็บตัวนั้นเชื้อที่ก่อโรคอยู่ในตัวอยู่แล้ว เชื้อเหล่านั้นก็จะถูกปล่อยเข้าร่างกายสุนัขไปด้วย ทำให้สุนัขป่วย ซึ่งโรคพยาธิเม็ดเลือดนี้ มีอันตรายถึงชีวิต
มีวงจรชีวิตประมาณ 2-3 สัปดาห์
หมัดมีการผสมพันธุ์บนตัวโฮสต์ และส่วนใหญ่จะวางไข่นอกตัวโฮสต์ และมีความต้องการเลือดเป็นอาหารก่อนจะวางไข่ ไข่ของหมัดอาจจะอยู่ตามเสื่อ ผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือพื้น เพดาน มันวางไข่ได้ครั้งละประมาณ 3-18 ฟอง และหนึ่งชั่วชีวิตของมันจะวางไข่ได้ประมาณ 300-500 ฟอง ตัวอ่อนจะมีการลอกคราบเป็น 3 ระยะ ตัวอ่อนคลายตัวอ่อนของแมลง ลำตัวประกอบเป็นปล้องๆ มี 13 ปล้อง และในแต่ละปล้องจะมีขนเส้นยาวขึ้น ตัวอ่อนกินไรฝุ่น ผง หรือเลือดแห้ง เป็นอาหาร ตัวอ่อนจะมีอายุประมาณ 2 สัปดาห์ จึงลอกคราบกลายเป็นตัวแก่ และจะต้องขึ้นไปเกาะบนตัวโฮสต์ทันที ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาล ปากแบบกัดและเจาะดูด ไม่มีปีก
วงจรชีวิตของเห็บมี 4 ระยะ

ระยะเป็นไข่

ตัวอ่อน

ดักแด้

ตัวเต็มวัย

Process of Service
การกำจัดเห็บ,หมัด
ดูแลสัตว์เลี้ยงให้สะอาด
ดูแลสัตว์เลี้ยงให้สะอาด
การจัดการพื้นที่
การจัดการพื้นที่
การฉีดพ่น (Spraying)
การฉีดพ่น (Spraying)

แมลงก้นกระดก
Rove beetles
แมลงขนาดเล็กประมาณ 7-8 เซนติเมตร รูปร่างเรียวยาว ส่วนหัวมีสีดำ มีหนวดสีเหลืองปนน้ำตาลแบบเส้นด้ายหรือกระบอง ปีกสีน้ำเงินเข้ม สั้น ปิดส่วนท้องไม่มิด ขาทั้ง 3 คู่มีสีน้ำตาลแดง ส่วนท้องมีสีส้มมีความสามารถในการเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ปลายท้องมีแพนหางสั้น 1 คู่ และมักจะงอส่วนท้องส่ายขึ้นลงเมื่อเกาะอยู่กับพื้น จึงมักถูกเรียกว่า “ด้วงก้นกระดก” การเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์แบ่งเป็นสี่ระยะ คือ ระยะไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย
แมลงก้นกระดกเป็นแมลงที่มีอายุอยู่ได้ยาวนาน บินได้เร็วและว่องไว เวลาวิ่งจะยกปลายท้องตั้งขึ้นเหมือนแมงป่อง ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นที่รก ชุ่มชื้นใกล้แหล่งน้ำ เช่น ร่องน้ำแปลงผัก และ หนองน้ำ มักจะออกมาเล่นแสงไฟในเวลากลางคืน พบการระบาดมากในช่วงฤดูฝนถึงกลางฤดูร้อนช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมิถนายนในปีถัดไป ความน่ากลัวของแมลงชนิดนี้ไม่ใช่พิษที่เกิดจากการกัดหรือต่อย แต่จะปล่อยสารพิษที่มีชื่อว่า พีเดอริน (Pederin) อยู่ในเลือดของมัน ซึ่งตัวเมียจะมีปริมาณพิษมากว่าตัวผู้มาก สารชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนหากโดนสัมผัสโดนผิวสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อผิวหนังได้
ลักษณะอาการหลังโดนน้ำพิษ
คือ มีผื่นแดง บวม มีตุ่มน้ำใส คัน มีการอักเสบเกิดเป็นแผลพุผอง อาหารเหล่านี้จะหายไปได้ใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาจจะมีรอยดำหลังจากตกสะเก็ดได้ในระยะสั้นๆ แต่มักจะไม่เป็นแผลเป็น หากเข้าตาก็จำทำให้ตาอักเสบหากปล่อยไว้นานอาจตาบอดได้ โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงและไม่พบอาการระบบอื่นนอกจากตาและผิวหนัง ยกเว้นในรายที่ได้รับสารพิษจำนวนมากหรือมีอาหารแพ้รุนแรง อาจจะมีไข้สูงและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- หลีกเลี่ยงการจับโดยใช้วิธีการเป่าออก
-
เมื่อสัมผัสโดนแมลงก้นกระดก ควรรีบล้างด้วยสบู่
อย่างรวดเร็วและเบามือ - ประคบผิวด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น
-
ใช้แอมโมเนียทาบริเวณที่โดนน้ำพิษของแมลง
เพื่อช่วยลดอาการแสบร้อน - หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรงควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
